สัปดาห์ที่ผ่าน มีเรื่องสะท้านโลกโซเชียลที่กระแรงสุดq เห็นจะหนี้ไม่พ้นเรื่องยักษ์ทศกัณฐ์หยดขนมครก กับอีกเรื่องที่ใกล้ตัวคนทำร้านอาหารมากที่สุดนั่นคือ ประเด็นพาดหัวข่าวที่ว่า “โง่มาตั้งนาน… “Service Charge” ร้านอาหาร ไม่จ่ายก็ได้นะ!!” เรื่องทศกัณฐ์หยอดขนมครกปล่อยให้เป็นกระแสต่อไป เรามาว่ากันด้วยเรื่องใกล้ตัวคนทำร้านอาหารประเด็น Service Charge กันดีกว่า คนทำร้านอาหารหลายๆ คนที่ติดตามข่าวนี้ คงได้รับทราบเนื้อหาของข่าวในมุมต่างๆ กันไปบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะออกมาในมุมลบต่อคนทำร้านอาหารกัน วันนี้ทางเพื่อนแท้ร้านอาหารขอหยิบยกมาสรุปสั้นๆ ให้ฟังอีกครั้ง พร้อมกับนำเสนอทางเลี่ยงของการเรียกเก็บ Service Charge แบบที่พึ่งพอใจทั้ง 2 ฝ่าย ลองพิจารณากันครับ
ความจริงที่ควรทำถ้าจะเก็บ Service Charge
1.ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเข้ามาควบคุมเกี่ยวกับเรื่อง Service Charge ว่าห้ามเก็บหรือเก็บได้ แต่เบื้องต้นทาง สคบ.เห็นว่าหากเก็บ Service Charge ควรอยู่ในอัตราไม่เกิน 10% เพราะเป็นอัตราที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับทราบตามสากล และรับได้
2.หากร้านอาหารจะเก็บ Service Charge จะต้องระบุให้ชัดเจนให้ผู้บริโภคทราบก่อนการใช้บริการว่าทางร้านมีการเก็บ Service Charge และทางเพื่อนแท้ร้านอาหารแนะนำว่าควรระบุไว้ทุกหน้าในเมนูอาหาร
3.ผู้บริโภคสามารถไม่จ่ายค่า Service Charge ให้กับทางร้านอาหารได้ เฉพาะในกรณีที่ทางร้านไม่ได้ระบุไว้ว่าทางร้านมีเก็บ Service Charge
คำแนะนำจากเพื่อนแท้ร้านอาหาร เพิ่มเติม :
1.หากร้านคุณมี Service Charge อย่ามองแค่ว่ามันคือรายได้ที่เพิ่มเติมเข้ามาโดยไม่ต้องทำอะไร เพราะร้านไหนมีการเก็บ Service Charge ความคาดหวังข้องลูกค้าก็มีว่า “ฉันจะได้อะไรจากการที่คุณเก็บ Service Charge ” ดังนั้นถ้าร้านคุณจะต้องมั่นใจว่ามีการบริการที่ดี เหนือความคาดหมายของลูกค้าได้ เพื่อตอบสนองให้ลูกค้ารู้สึกเต็มใจที่จะจ่าย Service Charge
2.ผู้ประกอบการหลายๆ ท่านที่ร้านมี Service Charge เพราะสาเหตุที่ว่าต้องการให้ดูว่าอาหารราคาไม่แพง หากในอนาคตมีกฎหมายออกมาว่าห้ามร้านอาหารบางประเภทมี Service Charge และคุณคือหนึ่งในนั้น วิธีแก้ไขคือนำ Service Charge ที่คุณแยกออกจากราคาเพราต้องการให้ราคาอาหารดูไม่แพง ใส่กลับเข้าไปในราคาเมนูอาหาร
3.จากข้อ 2 บางร้านสงสัยว่าควรใส่ Service Charge ลงไปในราคาเมนูอาหารหรือแยกดี? โดยเฉพาะร้านบุฟเฟต์ซึ่งในยุคปัจจุบันแนะนำว่าใส่ลงไปเลยดีกว่าครับ อย่าทำการตลาดแบบมีดอกจัน ควรให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายๆ ว่าต้องเสียเงินกี่บาทเพราะผู้บริโภคส่วนหนึ่งมักเสียอารมณ์กับการทานอาหารแล้วพอเช็คบิลต้องมาตาโตกับ Service Charge ที่จ่ายไป
4.ผู้ประกอบการที่มีการเก็บ Service Charge เพราะสาเหตุเพื่อเป็นสวัสดิการของพนักงาน หากในอนาคตมีกฎหมายออกมาว่าห้ามร้านอาหารบางประเภทมี Service Charge และคุณคือหนึ่งในนั้น ในกรณีนี้ไม่เห็นสมควรให้เอา Service Charge ไปใส่ในราคาอาหารเหมือนกับข้อสองที่เราแนะนำนะครับ เพราะจุดประสงค์ในการเก็บ Service Charge ต่างกัน กรณีนี้เป็นการผลักภาระไปให้ผู้บริโภคมากเกินไป
5.ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับ Service Charge แต่เป็นกรณีตัวอย่างที่เคยประสบมาคือ “การขายอาหารที่อยู่นอกเมนู ซึ่งไม่มีราคาปรากฎในเมนู” เช่นกรณีตัวอย่างหนึ่ง ลูกค้าสั่งอาหารนอกเหนือเมนูในเล่ม ซึ่งทางพนักงานได้มีการคิดราคาใหม่ขึ้นให้ โดยมีการแจ้งลูกค้าให้ทราบก่อนที่จะยืนยันออเดอร์ ซึ่งลูกค้าตกลงรับได้กับราคาที่แจ้งไป แต่เมื่ออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ลูกค้ามีความรู้สึกไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป ทำให้ลูกค้าไม่พอใจและไปแจ้งเรื่องกับทาง สคบ. ซึ่งสุดท้ายนั้นทา ร้านอาหารต้องเสียค่าปรับจำนวน 6,000 บาท เพราะไม่ติดราคาอาหารที่จำหน่ายในเมนู (หรือขายอาหารนอกเมนูที่ไม่มีการระบุราคาไว้ในเล่ม)
เคสนี้นำมาแชร์ให้กับเพื่อนๆ เพื่อระวังการขายอาหารนอกเมนู ซึ่งถึงแม้มีการแจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนขาย แต่หากลูกค้าไปแจ้งเอาเรื่อง ทางร้านก็ถือว่าผิดอยู่ดี ดังนั้นควรเลี่ยงการจำหน่ายอาหารที่ไม่มีในเมนู และหากมีลูกค้าสอบถามหรือต้องการสั่งบ่อยครั้ง ให้ทำเมนูเพิ่มลงไปในรูปเล่ม หรือทำเมนูแยกออกมาได้เลย เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ถ้าเอากันจริงๆ แล้ว เรื่อง Service Charge หากลูกค้ารู้สึก สัมผัสได้ถึงบริการที่ดี บรรยาการที่ดี หน้าตาอาหารที่ดี รสชาติที่ดี ความคุ้มค่าที่ดี ประเด็น Service Charge จะไม่เป็นประเด็นกวนใจเลย ลูกค้ายินดีจ่ายเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นผู้ประกอบการ้านอาหารก็ควรใส่ใจในประเด็นการให้บริการที่พึงพอใจต่อลูกค้าเป็นสำคัญ
จริงๆ เรื่อง Service Charge จะว่าไปยังหนักน้อยกว่า บิลอาหารร้านเหล้าจำนวนหนึ่งที่เรียกเก็บจากลูกค้านักดื่มตอนสติหลุดจากตัวไปหมดแล้ว!!!
