เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ข่าวว่า ร้านอาหารที่ผมเคยกินร้านนึงถึงเวลาต้องปิดตัว เพราะทนแบกค่าเช่า ค่าฟิกคอร์สไม่ไหว สถานการณ์ช่วงนี้ ได้ยินหลายเสียงบ่นตัดพ้อกับภาวะเศรษฐกิจซบ ยอดขายตกก็น่าเห็นใจ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ชวนย้อนกลับมามองที่ตัวเองว่าภาวะเศรษฐกิจคือ ปัจจัยหลักที่ทำให้เจ๊งจริงหรือไม่ หรือว่า ที่เจ๊งเพราะปัจจัยภายในของร้านมันไม่ดีอยู่แล้วแต่ที่ผ่านมาด้วยสภาพเศรษฐกิจคนยังใช้จ่ายคล่องตัวเลยทำให้ช่วยกดสภาพปัจจัยภายในไม่ให้ออกฤทธิ์
อย่างเช่นร้านที่ปิดตัวร้านที่ว่านี้หากเป็นนักกินทั่วไปก็อาจไม่ได้สังเกตเห็นอาการป่วย แต่ด้วยความที่ผมต้องส่องเพื่อเก็บข้อมูลสิ่งที่เห็นคือ ความห่างเหินระหว่างเจ้าของกับลูกน้องการใช้แต่คำสั่งแบบคุณนายสั่งคนใช้ ชักสีหน้าใส่ลูกน้อง ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นลูกค้า VIP ไม่ยิ้มทักทายลูกค้า รอจับผิดลูกน้องแล้วคอยเก็บเงินลูกค้า คือภาพที่เห็น ในตอนนั้น ผมพูดกับตัวเองในใจว่าไม่แปลกใจเลยถ้าร้านนี้จะต้องปิดตัวเพราะบรรยากาศในร้าน เครียด ลูกน้องเกร็งจะทำอะไรก็กล้าๆ กลัวๆ พลอยให้ลูกค้าเครียดกับการบริการไปด้วย
ตัดฉากไปที่อีกร้านหนึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั่งเดิมขนาดร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในทำเลมีการแข่งขันสูงมากซอยทองหล่อ แต่ร้านนี้ กลับมีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นทยอยเข้าออกไม่ขาด เจ้าของร้านเป็นสาวชาวญี่ปุ่นแต่พูดไทยชัด และรู้จักมารยาทไทยดีมากยิ้มแย้ม ต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง แนะนำเมนูอาหารต่างๆ กับลูกค้าด้วยตัวเอง พูดคุยหยอกเล่นกับลูกน้องช่วยลูกน้องเสิร์ฟอาหาร ลูกน้องก็มีพฤติกรรมเหมือนเจ้าของคอยดูแลลูกค้า (จนลูกค้าอย่างผมรู้สึกเกรงใจเลย) เมื่อบวกกับเสียงเพลงพื้นบ้านญี่ปุ่นเพราะๆ การตกแต่งร้านแนวธรรมชาติทำให้บรรยากาศร้านนี้นั่งแล้วผ่อนคลายสบายอารมณ์ได้ยินเสียงลูกค้าหัวเราะ สนุกสนานกันนั่งได้นาน สั่งเมนูบ่อย จนลืมตัวไปเลย ^_^
เป็นความต่างกัน ที่ไม่ได้มีข้อสรุปอะไรเพียงแต่จะชวนกันตั้งคำถามว่าระหว่างปัจจัยภายนอก กับ ปัจจัยภายในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร้านอาหารร้านนึงต้องปิดตัวนั้นเพื่อนๆ คิดว่า อะไรมีผลมากกว่ากัน?